บทความที่่ 4
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน
รหัสวิชา 0026008 กลุ่มเรียนที่ 1
ชื่อ นางสาว กาญจนา นาชัยพลอย
รหัสนิสิต 54010917837(AC)
คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาบัญชี
ปัญหาการรับจำนำข้าว
นโยบายการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายที่
ทุกคนหรือทุกฝ่ายสนใจเกี่ยวกับโครงการนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง และในโครงการนี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
แล้วจะช่วยแก้ไขเรื่องราคาข้าวที่ถูกได้จริงหรือไม่
โครงการนี้จะมีความเป็นไปได้สูงขณะไหนที่จะมีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว การรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้นั้นรับจำนำในราคาที่สูงกว่าราคาขายหรือไม่
ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมานานแล้ว
และก็มีการทุจริตในโครงการนี้มาตลอด
ซึ่งหลายฝ่ายมองเห็นว่าโครงการนี้ไม่ถูกต้องเพราะว่าจะทำให้กลไกลตลาดเปลี่ยนไป
และราคาหรือคุณภาพข้าวของไทยจะทุกลงหรือคุณภาพต่ำลงมากน้อยคณะไหน
การส่งข้าวออกนั้นเรายังมีคู่แข่งอีกหลายประเทศ
ถ้าประเทศไทยยังไม่มีการปรับปรุงคุณภาพข้าว
ไทยก็จะเสียเปรียบการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
และคนทั่วโลกก็จะหันไปซื้อข้าวจากเพื่อนบ้าน เปล่า
ถ้าปัญหาการซื้อขายข้าวยังเป็นแบบนี้ต่อไป และยังมีการทุจริตต่อไปเรื่อยๆ
จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศต่อไปเปล่า
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งข้าวออกเป็นต้นๆของโลกก็ว่าได้ ถ้าข้าวส่งออกไม่ดีจะส่งผลต่อเกษตรกรมากน้อยคณะไหน รัฐบาลรู้ดีครับ
ปัญหาการรับจำนำข้าว
นับเป็นสัญญาณการเตือนครั้งสุดท้ายจาก
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เตรียมส่งเรื่องถึง
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนโครงการรับจำนำข้าว
หาทางอุดช่องโหว่ปิดทางทุจริตที่เริ่มผุดมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยทำข้อเสนอไปยัง “รัฐบาล” ขอให้ทบทวนโครงการรับจำนำข้าว
เพราะเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ง่าย
ท่ามกลางกระแสข่าวระแคะระคายว่ามีความผิดปกติ เริ่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์
กลับเมินเฉย และยังยืนยันเดินหน้าฝ่าแรงเสียดทานเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวพร้อมการันตีว่าเป็นนโยบายที่ดี
มีวัตถุประสงค์ต้องการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ช่วยพี่น้องเกษตรกร
แม้จะยอมรับกลายๆ
เรื่องความไม่โปร่งใส แต่ก็ปัดให้เป็นเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติงาน พร้อมโยนให้
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เข้าไปตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสถูกต้อง
ทว่ายิ่งเดินหน้า
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งรุนแรง ทั้งในแง่ของความคุ้มค่ากับงบประมาณที่บานไปถึง 4.5
แสนล้านบาท การเปิดช่องให้เกิดการทุจริตในแทบจะทุกขั้นตอน
มีเม็ดเงินตกไปถึงมือชาวนาเพียงแค่ 37% ตามข้อสังเกตจากนักวิชาการ
ยังไม่รวมกับประเด็นเรื่องการระบายข้าวจนไทยต้องเสียแชมป์การส่งออกให้เวียดนามและปมปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ
เวียนเทียน ลักลอบนำเข้าจากชายแดนเกิดขึ้นหลายพื้นที่ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หลายจุดเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส
นับเป็นสัญญาณการเตือนครั้งสุดท้ายจาก
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เตรียมส่งเรื่องถึง
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนโครงการรับจำนำข้าว
หาทางอุดช่องโหว่ปิดทางทุจริตที่เริ่มผุดมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
ป.ป.ช.เคยทำข้อเสนอไปยัง “รัฐบาล”
ขอให้ทบทวนโครงการรับจำนำข้าว เพราะเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ง่าย
ท่ามกลางกระแสข่าวระแคะระคายว่ามีความผิดปกติ เริ่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
ทว่ายิ่งเดินหน้า
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งรุนแรง ทั้งในแง่ของความคุ้มค่ากับงบประมาณที่บานไปถึง 4.5
แสนล้านบาท การเปิดช่องให้เกิดการทุจริตในแทบจะทุกขั้นตอน
มีเม็ดเงินตกไปถึงมือชาวนาเพียงแค่ 37% ตามข้อสังเกตจากนักวิชาการ
ยังไม่รวมกับประเด็นเรื่องการระบายข้าวจนไทยต้องเสียแชมป์การส่งออกให้เวียดนามและปมปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ
เวียนเทียน ลักลอบนำเข้าจากชายแดนเกิดขึ้นหลายพื้นที่ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หลายจุดเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส
เที่ยวนี้ “วิชา มหาคุณ” กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างให้“ศูนย์วิจัยเพื่อต่อต้านการทุจริต
ป๋วย อึ๊งภากรณ์” ของ ป.ป.ช. ที่มีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ไปศึกษาและหาข้อสรุป
ก่อนจะส่งจดหมายเตือนไปถึงรัฐบาลเป็นครั้งที่ 2 ว่าโครงการการรับจำนำข้าวนั้น
ได้เกิดปัญหาการทุจริตในขั้นตอนใดบ้าง
หากรัฐบาลยังปล่อยให้เกิดการทุจริตจำนำข้าวขึ้น
ป.ป.ช.ก็จะพิจารณาว่าเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
หรือไม่
งานนี้จึงอาจทำให้นายกฯ
ยิ่งลักษณ์ รวมไปถึง
ครม.ทั้งคณะต้องกลับมาทบทวนอย่างหนักว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงต่อไปหรือไม่
เพราะเที่ยวนี้ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ
ตัดตอนว่าไม่รู้ไม่เห็นการทุจริตที่จะเกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวต่อจากนี้ได้อีกต่อไป
ย้อนไปดูการดำเนินการตลอดปีกว่าที่ผ่านมา
มีแต่กระแสข่าวการทุจริต ความไม่โปร่งใสให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง
แต่ละเสียงที่ออกมาทักท้วง ล้วนแต่เป็นคนระดับแถวหน้าของสังคม
ทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
เทวกุล อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
จนมาถึงกลุ่มนักวิชาการและนักศึกษา
146 คน นำโดย “อดิศร์
อิศรางกูร ณ อยุธยา” คณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า
เข้ายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่านโยบายรับจำนำข้าว
ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 และมาตรา 84 (1) หรือไม่
ซึ่งบัญญัติให้รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม
และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
ถึงจะมีปัญหาเรื่องเอกสารในตอนแรก
แต่สุดท้ายก็ยื่นเพิ่มสำเนาเอกสารจำนวน 9 ชุด ครบทั้งหมดแล้ว
ครบถ้วนตามระเบียบของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
รอดูแค่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะหยิบขึ้นมาพิจารณาในการประชุมวันที่
10 ต.ค.ทันหรือไม่เท่านั้น
เรื่องนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาลไม่น้อย
จับอาการได้จากมีคนในพรรคเพื่อไทยหลายกลุ่มหลายก๊วนออกมาถล่มพวกต่อต้านจำนำข้าว
ตามด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่นำเกษตรกรชุมนุมต่อต้านนิด้า
ไม่เพียงเท่านี้
รัฐบาลยังถูกท้าทายจากคนในด้วยกันเองอย่าง “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร
ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตแห่งชาติ (กยอ.) ออกมาวิพากษ์โครงการรับจำนำข้าวว่า
อันตรายที่สุด
“ถ้ารัฐบาลจะพังก็เรื่องโครงการรับจำนำข้าว”
แต่จนแล้วจนรอด ยิ่งลักษณ์
ยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องหลายฝ่ายพอสมควร
สอดรับกับท่าทีของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ตัวจริง ได้ประกาศผ่านสื่อต่างประเทศ สนับสนุนให้รัฐบาลของน้องสาวเดินหน้านโยบายจำนำข้าวต่อไป
“เราไม่ได้โยนเงินทิ้งเปล่าๆ
โครงการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายข้าวในสต๊อก
อีกทั้งเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ
และช่วยประคับประคองประเทศไทยจากผลกระทบของวิกฤตหนี้ในยุโรป” ไฟเขียวสำคัญจากนายใหญ่
เมื่อนายใหญ่และนายกฯ
ส่งสัญญาณให้นโยบายจำนำข้าวเป็นน้ำมันขับเคลื่อนรัฐบาลต่อ
ย่อมเอื้อให้บรรดากองทัพเพื่อไทยต่างออกตบเท้าเดินหน้าลุยพวกต่อต้านนโยบายนี้อย่างถึงพริกถึงขิง
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าตอนนี้ประเด็นเรื่องจำนำข้าวยังไม่สะท้านรัฐบาล แต่อีกไม่นานสถานการณ์จะเข้มข้นขึ้นจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งเตรียมใช้เป็นตัวชูโรงถล่มรัฐบาลในช่วงกลางเดือน พ.ย.
หวังถึงขั้นเป็นประกายไฟให้เกิดกระแสต่อต้านการทุจริตของรัฐบาลนอกสภา
เพราะฉะนั้น
การดึงดันเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวนับจากนี้ต่อไป
จึงไม่ต่างอะไรกับเส้นทางเสี่ยงของรัฐบาล โดยเมื่อใดเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา
ถึงเวลานั้นย่อมสะเทือนต่อเก้าอี้นายกฯ และเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
รัฐบาลเดินหน้าโครงการเพื่อช่วยเหลือชาวนา
ก็จะต้องรับซื้อข้าวเข้ามาแล้วประมูลขายออกไปอย่างโปร่งใส
โดยราคาที่ประมูลน่าจะใกล้เคียงกับตลาดโลก
วิธีการนี้อย่างไรเสียรัฐบาลขาดทุนแน่นอน
แต่หากไม่มีการทุจริต
เงินส่วนต่างจะไปตกอยู่กับชาวนา
ถ้าขาดทุนโดยโปร่งใสถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้มากกว่าการขาดทุนแบบทุจริต
เชื่อว่าน่าจะขาดทุน 1
แสนล้าน มากกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ขาดทุน 7 หมื่นล้าน
เพราะรัฐบาลนี้ตั้งราคารับจำนำไว้สูงกว่า
แต่ถ้ารัฐบาลให้สัญญาไว้ตอนหาเสียงก็ถือว่าแฟร์ที่จะทำ
รัฐบาลควรคำนึงถึงปัญหาระยะยาว
เพราะโครงการแทรกแซงมีปัญหาอยู่แล้ว อาจต้องปรับบางเรื่อง เช่น ลดราคาจำนำข้าว
หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นที่ไม่ต้องจัดการเรื่องซื้อขายข้าวเอง
เพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถเรื่องนี้
รวมทั้งปัญหาจากระเบียบราชการบางอย่างที่อาจทำให้เกิดปัญหา
เช่น การเก็บข้าวไว้ไม่กล้าขาย เพราะราคาตกต่ำจนข้าวเสียหายไม่สามารถขายได้
มีข้อสังเกตว่าระยะหลัง
ความขัดแย้งการเมืองกลายเป็นเรื่องใหญ่ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่แต่ละครั้ง รัฐบาล
ปัจจุบันก็มักไม่ยึดหรือดำเนินนโยบายหรือโครงการตามรัฐบาลเก่า ทั้งที่หลายโครงการ
หากดำเนินต่อเนื่องจะพัฒนาหรือเดินหน้าไปได้ไกล
นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล
“จำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท” อีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ที่ก่อนหน้าที่จะได้เข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น
ได้หาเสียงกับชาวนาถึงการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าเดิม
ทำให้นโยบายนี้เป็นที่สนใจ
ตลอดจนเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านถึงผลกระทบต่างๆนานา
จำนำข้าว ปะทะประกันราคาข้าว
ทั้งสองนโยบายนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบโดยทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
โครงการประกันราคา
โครงการประกันราคา
เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแก้ ปัญหาการคอรัปชันจากการรับจำนำจากรัฐบาลชุดก่อน
เพื่อเป็นการประกันว่า
เกษตรกรจะขายข้าวได้ไม่ต่ำกว่า
1 หมื่นบาท และอาจจะปรับขึ้นในปีต่อไป
ข้อดี :
โครงการประกันราคา
- เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าว ได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท
(และจะปรับขึ้น ในปีต่อไป) แม้ว่าราคาข้าวในท้อง
ตลาดจะเป็นเท่าไรทางรัฐจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปให้
- จำนวนเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่า
- ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาดไม่มีการบิดเบือน
-
ปัญหาทุจริตคอรัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อยมากเพราะเงินสู่มือชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร
ธ.ก.ส.
- แม้เกิดภัยพิบัติจากน้าท่วม,ศัตรูพืช
ระบาดชาวนาก็จะยังได้ส่วนต่างแม้ไม่มีผลผลิต
ข้อเสีย :
โครงการประกันราคา
- รัฐต้องจ่ายเงินไปสู่เกษตรโดยตรง
ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้อะไรกลับมา
- มีการแจ้งการทำนาที่เป็นเท็จ เช่นทำนา 10
ไร่บอกว่า 20 ไร่
แม้จะมีประชาคมแต่บ้างครั้งต่างก็เกรงใจกันไม่กล้าคัดค้านหรืออาจเนื่องจากต่างคนต่างแจ้งเท็จด้วยกัน
- ทำให้ราคาข้าวไม่ขึ้นเกินหนึ่งหมื่น
บาทเพราะพ่อค้ารับซื้อรู้ว่ารัฐจ่ายส่วนต่างให้เกษตรแล้วเหมือนรัฐกดราคาข้าวไม่ให้เกินหนึ่งหมื่นบาท
- การจ่ายเงินส่วนต่างจะจ่ายให้แค่25 ตัน ถ้าใครได้เกินกว่า 25 ตัน
ไม่ได้รับส่วนต่าง
- คิดให้ผลผลิตข้าวที่ 500 กก. ต่อไร่
ถ้าใครทำได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้
โครงการรับจำนำข้าว :
โครงการรับจำนำ
โครงการรับจำนำข้าว
เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล
และมาหยุดโครงการดังกล่าวในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า มีช่องโหวในเรื่องของการคอรัปชัน
ในขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ก้าวเข้ามาครั้งนี้
จึงนำนโยบายดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ข้อดี
- จากการประกาศจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาท
ชาวนาจะได้รับเงิน 15,000 เลย (กรณีข้าวมีความชื้นที่15
เปอร์เซนต์) ซึ่งเป็นเงินสด
- ชาวนา มีข้าวเท่าไรก็ขายได้ตาม จำนวนผลผลิตที่ได้ เช่น หากทำนา
มีข้าว 10 ตัน ก็ได้ทั้ง 10 ตัน เป็นเงิน 150,000 บาท
-ชาวนาจะได้รับเป็นเงินสดทันทีเมื่อขายข้าว
- จะทำให้ ราคาข้าวในท้องตลาดเพิ่มขึ้น
เนื่องจากถ้าพ่อค้าไม่รับซื้อ ในราคาสูงก็ไม่มีข้าวขายเพราะรัฐจะซื้อเองหมด
- รัฐบาลสามารถควบคุมราคาซื้อ-ขาย ข้าวได้ (ในการส่งออกและบริโภคภาย
ในประเทศ)
ข้อเสีย :
โครงการรับจำนำ
- จากอดีตที่ผ่านมามีการคอรัปชันสูง
ทำให้รัฐต้องขาดทุนปีละหลายหมื่น ล้าน
- รัฐอาจต้องสร้างโกดังไว้เก็บข้าวเอง จำนวนมาก
- เป็นการ บิดเบือนกลไกตลาดทำให้
รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อข้าวซึ่ง
รัฐไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อข้าวชาวนาได้ทั้งหมดในกรณีที่พ่อค้าไม่รับซื้อข้าวแข่ง
-
รัฐต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยในการสต๊อกข้าวและรักษาคุณภาพข้าวจำนวนมากถ้าขายข้าวไม่ได้
- อาจมีข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์
นโยบายจำนำข้าวของ พรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายสำคัญนโยบายหนึ่ง
โดยจะรับจำนำข้าวขาว 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท ที่ความชื้น 15%
นโยบายนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าจะทำให้เกิดการโกงกันมโหฬาร
ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือโรงสี ข้าราชการทั้งประจำและนักการเมือง
รัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากแล้วจะเอาเงินมจากไหนหรือจะใช้วิธีกู้ และจะทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้นจะเป็นภาระกับประชาชนผู้บริโภค
ฯลฯปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประเด็นที่รัฐจะต้องแก้ปัญหา และให้คำตอบต่อประชาชน
ประเทศไทยมีผลผลิตข้าวประมาณปีละ 30-35 ล้านตัน
แปรรูปเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20 กว่าล้านตัน ใช้ในการบริโภคภายในประเทศประมาณ 10
ล้านตัน ที่เหลืออีกประมาณ 10 ล้านตันส่งออก
ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ เป็นข้าวประมาณ 31 % ของทั้งโลก
และเป็นข้าวคุณภาพสูง มีเวียตนามเป็นคู่แข่งสำคัญมีปริมาณส่งออกประมาณ 20%
แต่มีคุณภาพข้าวต่ำกว่าข้าวไทย เมื่อรวมทั้งสองประเทศแล้วเป็นข้าวในตลาดโลกถึงประมาณ
50%
ด้วยสภาพการอย่างนี้ถ้าไทยกับเวียตนามจับมือกันได้ก็จะสามารถกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกได้
แต่ยังไม่มีการเจรจากันอย่างจริงจัง
ซึ่งรัฐบาลนี้จะต้องทำการเจรจาเรื่องนี้ให้จริงจัง ๆ
และบังเกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้
เหมือนในอดีตที่ราคายางในประเทศกิโลกรัมละประมาณ 20-30 บาท
เกษตรกรผู้ทำสวนยางไม่ได้กำไร บ้างครั้งต้องขาดทุน
แต่เมื่อมาถึงยุครัฐบาลทักษิณได้ทำการเจรจากับมาเลเซียซึ่งเป็นประเทศที่ปลูกยางมากพอ
ๆ กับไทย เมื่อทั้งสองประเทศจับมือกันได้ ราคายางจึงสูงขึ้นมาเป็นลำดับ
จนปัจจุบันนี้ราคายางราคาเกิน 100 บาทแล้ว ชาวสวนยางรวยไปตาม ๆ กัน
ตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งคือกลุ่มโอเปคที่สามารถจับมือกันได้และสามารถกำหนดราคาน้ำมันตลาดโลกได้ทั้งที่รวมกันตั้งหลายประเทศยังสามารถรวมกลุ่มกันได้
นี่เรากับเวียตนามแค่สองประเทศไม่น่าเป็นเรื่องยากในการเจรจาเพราะได้ประโยชน์แก่ชาวนาที่เป็นกลุ่มคนยากจนของประเทศและเป็นคนส่วนใหญ่ที่รัฐบาลควรจะต้องดูแลเป็นพิเศษ
ปัจจุบันความต้องการข้าวในตลาดโลกประมาณ 30-35 ล้านตัน
ขึ้นอยู่กับปริมาณข้าวที่ปลูกได้ของแต่ละประเทศ แต่การคาดการความต้องการข้าวในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศฟิลิปินส์
และสหรัฐอเมริการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ และอินเดียเกิดภาวะแห้งแล้ง
ในขณะที่ประเทศของเราเอง
และประเทศเวียตนามก็เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่เกือบทั่วประเทศทำให้ปริมาณข้าวลดลง ในเมื่อความต้องการมากขึ้นในขณะที่มีข้าวน้อยลง
ราคาก็จะสูงขึ้นเป็นธรรมดา
เป็นผลให้ราคาในตลาดโลกปีนี้จะสูงขึ้นจนอาจให้รัฐบาลมีกำไรจากการขายข้าว
ซึ่งเท่ากับว่าไม่ต้องใช้วงประมาณในการรับซื้อชาวนาในปีต่อไป
ทำให้รัฐได้กำไรจากการส่งออกข้าว ก็จะมีเงินเหลือกลับมาเป็นงบประมาณในการบริหารประเทศต่อไป
ราคาข้าวในตลาดโลกก่อนเลือกตั้ง (วันที่ 27 มิ.ย. 2554) ราคาข้าวขาว
100% อยู่ที่ 506 เหรียญต่อตัน ข้าวขาว 5% อยู่ที่ 476 เหรียญต่อตัน แต่วันนี้เมื่อรัฐบาลประกาศจะเริ่มรับจำนำข้าวในวันที่ 7 ต.ค. 2554
– 29 ก.พ. 2555 ราคาข้าว 100% เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 613 เหรียญต่อตัน
ข้าวสาร 5% เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 555 เหรียญต่อตัน
จะเห็นว่าแค่รัฐบาลไทยประกาศจะรับจำนำข้าว
15,000
บาทต่อตัน ก็ทำให้ราคาข้าวตลาดโลก (เอฟโอบี) เพิ่มขึ้นประมาณ 100 เหรียญต่อตันแล้ว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาข้าวในประเทศของเราเป็นตัวกำหนดราคาในตลาดโลกได้
ยิ่งถ้าเราจับมือกับเวียตนามได้ก็จะสามารถกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกอย่างเบ็ดเสร็จ
เพราะตลาดโลกยอมทราบว่าเมื่อราคาข้าวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นย่อมไม่ขายข้าวในราคาที่ขาดทุนเป็นแน่
ถ้าไทยไม่ขายข้าวจะทำให้ข้าวหายไปจากตลาดโลกทันที 10 ล้านตัน
ซึ่งในความเป็นจริงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น
เพียงแต่เราลดปริมาณส่งออกให้น้อยลงจนไม่พอความต้องการหลายประเทศอาจต้องเข้ามาเจรจาซื้อข้าวจากเราโดยตรงอาจเป็นแบบรัฐต่อรัฐ
เราก็สามารถกำหนดราคาได้แม้ว่าทุกประเทศจะรู้ว่าไทยมีข้าวในสต็อกมากก็ตาม
แต่ข้าวเป็นสิ้นค้าที่เก็บไว้ได้ 2-3 ปี
แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องสต็อกจำนวนมากจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน
จากการสำรวจโรงสีทั่วประเทศสามารถสต็อกข้าวได้เกือบ 100 ล้านตันข้าวเปลือก
และถ้าเกิดปัญหาเรื่องระบายข้าวส่งออกได้น้อยลง
รัฐอาจให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูแล้ง ส่งเสริมให้หันไปปลูกพืชชนิดอื่น ๆ
เช่นถั่วเหลืองซึ่งใช้ทำอาหารสัตว์ และน้ำมัน
ที่ไทยขาดแคลนต้องนำเข้าปีละหลายแสนตัน
โดยรัฐจะใช้วิธีรับจำเหมือนข้าวโดยให้เกษตรการมีรายได้สูงเหมือนขายข้าว
เกษตรกรก็จะหันมาปลูกถั่วกันมาก
ทั้งพืชตระกูลถั่วก็เป็นปุ๋ยพืชสดชั้นดีที่ช่วยปรับปรุงดินทำให้การปลูกข้าวในฤดูต่อไปได้ผลผลิตสูงขึ้น
เหมือนที่กลุ่มโอเปคลดการกลั่นน้ำมันลงเพื่อให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพราะเมื่อน้ำมันขาดตลาด
ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นจึงค่อยเพิ่มกำลังการผลิต
ส่วนที่มีคนเป็นห่วงว่าประเทศต่าง ๆ
จะหันมาปลูกข้าวและพัฒนาข้าวเพิ่มขึ้นเพื่อเอาไว้กินเองในประเทศ
หรือแม้แต่หันไปหาอาหารอย่างอื่นเช่นข้าวสาลี ก็ไม่ใช้ทำได้ง่าย ๆ เหมือนน้ำมันที่ราคาแพงขึ้น
ทุกประเทศหันมาหาน้ำมันทดแทนกันเกือบทุกประเทศแต่ก็ไม่ทำให้ราคามันลดลง
เพราะน้ำมันทดแทนเอาเข้าจริง ๆ ยังมีต้นทุนสูงกว่าน้ำมัน
อีกประการหนึ่งปริมาณข้าวในแต่ละประเทศที่ปลูกไว้กินเองบ้างปีก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภคเนื่องจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง
ๆ เช่นภัยแล้ง น้ำท่วม ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในเกือบทุกประเทศ
ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตลดลง
ในขณะที่ประชากรมนุษย์นับวันจะเพิ่มมากขึ้น ความต้องการข้าวจึงมากขึ้นทุกปี
ในกรณีปัญหาเรื่องโรงสีที่อาจมีการโกงด้วยวิธีการต่าง ๆ อันนี้รัฐบาลได้ต้องกำหนดมาตรการต่าง ๆ ไว้ให้ดี เช่นมีบริษัทตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพไม่ร่วมมือกับโรงสี อาจให้บริษัทต่างประเทศเป็นผู้ตรวจสอบ ป้องกันการเอาข้าวออกมาหมุนเวียน
การรักษาคุณภาพข้าว
เรื่องคลังเก็บข้าวกลาง หรือตามโรงสีต่าง ๆ
ซึ่งต้องคัดเลือกโรงสีที่ดีมีความซื่อสัตย์ และมีมาตรการลงโทษที่รุนแรง
ส่วนที่กลัวว่าโรงสีจะเอาข้าวมาสวมสิทธิ์คงไม่สามารถทำได้เนื่องจากรัฐรับซื้อข้าวของชาวนาทั้งหมด
โรงสีจึงไม่มีข้าวมาขาย ยกเว้นจะซื้อแข่งกับรัฐซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ชาวนาจะขายให้ในราคาที่ถูกกว่าที่รัฐรับจำนำ
ยกเว้นจะซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่า
อีกประการหนึ่งคือบัตรเครดิตชาวนาจะแสดงตัวตนของชาวนาซึ่งไม่มีใครจะสวมสิทธิได้
เพราะรัฐจะควบคุมชาวนาด้วยระบบบัตรเครดิตนี้
ปัญหาเดิม ๆ ที่ชาวนาขายใบประทวนก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะรัฐรับซื้อข้าว
ทั้งหมดจึงไม่จำเป็นต้องขายใบประทวนเหมือนในอดีตที่กำหนดปริมาณข้าวที่จำนำ
การประมูลข้าวสำหรับพ่อค้าส่งออกจะต้องไม่ให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น
และรัฐบาลต้องเป็นผู้ค้าข้าวเองแบบจีทูจี
คือรัฐบาลต่อรัฐบาลโดยตรงจะช่วยไม่ให้เกิดการคอรัปชั่น
และต้องลงโทษผู้ที่ทุจริตอย่างจริงจัง เช่น ไล่ออก ปลดออก และดำเนินคดีอาญาด้วย
อีกมาตรการหนึ่งได้ข่าวว่ารัฐจะตั้งบริษัทค้าข้าวขึ้นมาเป็นรูปรัฐวิสาหกิจแบบการไฟฟ้า
การประปา ทำให้สามารถกำหนดราคาในตลาดได้ ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับราคาข้าวภายในประเทศจะสูงขึ้น
ผมขอเสนอให้รัฐใช้วิธีแบ่งตลาดข้าวออกเป็น
สองตลาดคือข้าวในประเทศควรมีราคาถูกเนื่องจากเราเป็นผู้ผลิตข้าวได้เองไม่ควรต้องกินข้าวตาม
ราคาตลาดโลก ส่วนมาตรการธงฟ้าเห็นว่าไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ
ผู้ที่ซื้อข้าวธงฟ้าก็เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่รัฐไปเปิดบริการเท่านั้น
จึงสมควรที่จะกำหนดราคาข้าวในประเทศให้เหมาะสมไม่เป็นภาระแก่ผู้บริโภคในกรณีนี้มีตัวอย่างเช่นมาเลเซียก็ให้ผู้ใช้น้ำมันในประเทศถูกว่าตลาดโลกตามประเด็นต่าง
ๆ ที่ผมนำเสนอมานี้แม้จะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง
ถ้ารัฐมีการบริหารจัดการที่ดีและโปร่งใสต่อไป
บทสรุป
- จำนวนเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่า
- ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาดไม่มีการบิดเบือน
- ปัญหาทุจริตคอรัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อยมากเพราะเงินสู่มือชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร
ธ.ก.ส.
- แม้เกิดภัยพิบัติจากน้าท่วมศัตรูพืช
ระบาดชาวนาก็จะยังได้ส่วนต่างแม้ไม่มีผลผลิต
ข้อเสียคือ
- รัฐต้องจ่ายเงินไปสู่เกษตรโดยตรง ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้อะไรกลับมา
- มีการแจ้งการทำนาที่เป็นเท็จ เช่นทำนา 10 ไร่บอกว่า 20 ไร่
แม้จะมีประชาคมแต่บ้างครั้งต่างก็เกรงใจกันไม่กล้าคัดค้านหรืออาจเนื่องจากต่างคนต่างแจ้งเท็จด้วยกัน
- ทำให้ราคาข้าวไม่ขึ้นเกินหนึ่งหมื่น
บาทเพราะพ่อค้ารับซื้อรู้ว่ารัฐจ่ายส่วนต่างให้เกษตรแล้วเหมือนรัฐกดราคาข้าวไม่ให้เกินหนึ่งหมื่นบาท
- การจ่ายเงินส่วนต่างจะจ่ายให้แค่25 ตัน ถ้าใครได้เกินกว่า 25 ตัน
ไม่ได้รับส่วนต่าง
- คิดให้ผลผลิตข้าวที่ 500 กิโลกรัมต่อไร่
ถ้าใครทำได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้
ซึ่งรัฐบาลยังต้องมีความโปรงใสในโครงการนี้
โครงการรับจำนำข้าวเป็นการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลซื้อมาในราคาที่สุดกว่าราคาขาย
รัฐบาลจะต้องดูแลรักษาที่ซื้อมาให้อยู่คุณภาพดี
และไม่เสียหายและต้องมีมาตรการดูแลการรับจำนำข้าวที่เข้มงวดมากกว่านี้ การทุจริตในโครงการนี้ก็จะน้อยลง ปัญหาต่างๆตามมาก็จะน้อยลงด้วย
อ้างอิง
http://www.dit.go.th/contentmain.asp?typeid=8&catid=144
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น